F-A-S-T for STROKE
วันพฤหัสบดีที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2555
คู่มือการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
แนวทางการดูแลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่บ้าน
บทบาทหน้าที่ของญาติ/ผู้ดูแลและครอบครัว
· กระตุ้นให้ผู้ป่วยทำกิจวัตรประจำวันด้วยตัวเองให้มากที่สุด เท่าที่ผู้ป่วยสามารถทำได้ เช่น การแปรงฟัน อาบน้ำ แต่งตัว หวี ผม รับประทานอาหารด้วยตนเอง การลุกนั่ง การขับถ่าย โดยญาติอาจคอยช่วยเหลือเป็นกรณีไป การกระตุ้นให้ผู้ป่วยทำกิจวัตรประจำวันด้วยตนเองจะทำให้ผู้ป่วยฟื้นได้เร็ว ขึ้น ญาติ / ผู้ดูแลควรให้กำลังใจ และส่งเสริมผู้ป่วยให้เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง
· กระตุ้นผู้ป่วยไม่ให้ลืมร่างกายข้างที่อ่อนแรง โดย จัดวางอุปกรณ์ เครื่องใช้ไว้ข้างที่อ่อนแรง การพูดคุย ยื่นสิ่งของให้หรือการป้อนข้าวควรเข้าข้างที่อ่อนแรง
· กระตุ้นการรับรู้ บุคคล วันเวลา สถานที่ และสังคมโดย จัดให้มีนาฬิกา ปฏิทิน รูปภาพ โทรทัศน์ ให้ผู้ป่วยดู ให้ญาติหรือผู้ดูแลช่วยบอกถาม พูดคุย หรือให้ผู้ป่วยพูดคุยกับลูกหลาน ญาติพี่น้อง เพื่อนๆ หรือผู้คุ้นเคย
· ครอบครัวให้ความรัก ความใส่ใจเข้าใจปัญหาของผู้ป่วย กระตุ้นให้ผู้ป่วยร่วมกิจกรรมต่างๆ ในครอบครัวเท่าที่ทำได้อย่างสม่ำเสมอไม่ปล่อยให้ผู้ป่วยนอนอยู่แต่บนเตียง เช่น พาผู้ป่วยไปเดินเล่น ออกกำลังกาย ออกนอกบ้านไปสถานที่ต่างๆ บางรายอาจต้องให้มีส่วนร่วมรับรู้ในกิจการงาน ตลอดจนสังคม สมาคม ที่เคยทำมาก่อนบ้างตามความเหมาะสม
· ผู้ป่วยอาจมีความต้องการทางเพศเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งผู้ดูแลโดยเฉพาะสามีหรือภรรยา ควรทำความเข้าใจและปลอบโยนเป็นกำลังใจให้ผู้ป่วย
· ควรมีการหมุนเวียนผู้ดูแล กรณีผู้ป่วยช่วยเหลือตนเองไม่ได้ เนื่องจากต้องดูแลอย่างใกล้ชิดเป็นเวลานาน ถ้ามีปัญหาในการดูแลผู้ป่วย ควรปรึกษาทีมสุขภาพ หรือปรึกษาทางโทรศัพท์
· มาพบแพทย์ตามนัด รับประทานยาตามแพทย์สั่งให้ถูกต้องและครบถ้วน หากมีอาการผิดปกติให้มาพบแพทย์ก่อนวันนัด เช่น แขน-ขาอ่อนแรง หรือชามากขึ้น ง่วงซึม สับสนมากขึ้น พูดไม่ได้ ไม่เข้าใจคำพูดมากขึ้น มีไข้ติดต่อกันเกิน 3 วัน ปัสสาวะบ่อยกลั้นปัสสาวะไม่ได้ ปัสสาวะขุ่น มีกลิ่นเหม็น เป็นต้น
· กรณีที่ต้องได้รับการดูแลต่อเนื่องที่บ้าน ให้ติดต่อสถานบริการใกล้บ้าน เช่นโรงพยาบาล สถานีอนามัย หรือศูนย์บริการสาธารณสุขตามสิทธิการรักษาของผู้ป่วย
วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555
แนวทางการประเมินผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน
แนวทางการประเมินผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน โรงพยาบาลพัทลุง
Acute stroke fast track guidelines for Phatthalung Hospital
NIHSS: National Institute of Health Stroke Scale
1A. ระดับความรู้สึกตัว
o 0-รู้สึกตัวดี
o 1-ง่วงซึม ปลุกตื่นได้ง่าย
o 2-หลับตลอดเวลา ปลุกโดยกระตุ้นแรง
o 3-ไม่ตอบสนอง แต่ยังมีปฏิกิริยาอัตโนมัติ reflex
1B. คำถามระดับความรู้สึกตัว (ถามชื่อเดือนและอายุในปัจจุปัน)
o 0-ตอบถูกทั้งสองข้อ
o 1-ตอบถูก 1 ข้อ
o 2-ตอบไม่ได้/ตอบผิดทั้ง 2 ข้อ
o 0-ทำถูกทั้ง 2 อย่าง
o 1-ทำถูกเพียงอย่างเดียว
o 2-ไม่ทำตามคำสั่ง
2. การเคลื่อนไหวของตา
o 0-มองตามได้ปกติ
o 1-เหลือบมองด้านข้างได้แต่ไม่สุด
o 2-เหลือบมองไปด้านข้างไม่ได้เลย หรือ มองไปด้านใดจนสุด
3. การมองเห็น : ตรวจ VF
o 0-ลานสายตาปกติ
o 1-ลานสายตาผิดปกติบางส่วน
o 2-ลานสายตาผิดปกติครึ่งซีก
o 3-มองไม่เห็นทั้ง 2 ตา : ตาบอด
4. การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้า
o 0-ไม่มีกล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง
o 1-กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรงเล็กน้อย สังเกตเห็นมุมปากตกหรือไม่เท่ากันเมื่อยิ้ม
o 2-กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรงมาก แต่พอเคลื่อนไหวได้บ้าง
o 3-ไม่สามารถเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อใบหน้าได้เลย
5A .กำลังของกล้ามเนื้อแขนด้านซ้าย (เหยียดแขนออกในท่าคว่ำมือ 90 องศาในท่านั่ง หรือ 45 องศาในทานอน
o 0-ยกแขนค้างได้นาน 10 วินาที
o 1-ยกแขนได้แต่ไม่ถึง 10 วินาที
o 2-ยกแขนขึ้นได้บ้าง แต่ไม่สามารถคงได้ในตำแหน่งที่ต้องการ
o 3-ไม่สามารถยกแขนขึ้นได้
o 4-ไม่มีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อแขน
5B .กำลังของกล้ามเนื้อแขนด้านขวา (เหยียดแขนออกในท่าคว่ำมือ 90 องศาในท่านั่ง หรือ 45 องศาในทานอน
o 0-ยกแขนค้างได้นาน 10 วินาที
o 1-ยกแขนได้แต่ไม่ถึง 10 วินาที
o 2-ยกแขนขึ้นได้บ้าง แต่ไม่สามารถคงได้ในตำแหน่งที่ต้องการ
o 3-ไม่สามารถยกแขนขึ้นได้
o 4-ไม่มีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อแขน
o 0-ยกขาค้างได้นาน 5 วินาที
o 1-ยกขาได้แต่ไม่ถึง 5 วินาที
o 2-ยกขาขึ้นได้บ้าง แต่ไม่สามารถคงได้ในตำแหน่งที่ต้องการ
o 3-ไม่สามารถยกขาขึ้นได้
o 4-ไม่มีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อขา
6B .กำลังของกล้ามเนื้อขา ด้านขวา (ยกขาทีละข้างทำมุม 30องศาในท่าเหยียด)
o 0-ยกขาค้างได้นาน 5 วินาที
o 1-ยกขาได้แต่ไม่ถึง 5 วินาที
o 2-ยกขาขึ้นได้บ้าง แต่ไม่สามารถคงได้ในตำแหน่งที่ต้องการ
o 3-ไม่สามารถยกขาขึ้นได้
o 4-ไม่มีการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อขา
7.การประสานงานของแขนและขา: finger to nose test, heel to shin test
o 0-การประสานของแขนขาทั้ง 2 ข้างเป็นปกติ
o 1-มีปัญหาการประสานงานของแขนหรือขา 1 ข้าง
o 2-มีปัญหาการประสานงานของแขนหรือขา 2 ข้าง
o 0-การรับความรู้สึกเป็นปกติ
o 1-สูญเสียการรับความรู้สึกปานกลาง
o 2-ไม่รู้สึกว่าถูกสัมผัส
9.ความสามารถด้านภาษา
o 0-การสื่อสารภาษาเป็นปกติ
o 1-การสื่อภาษาสูญเสียระดับน้อยถึงปานกลาง พอเข้าใจได้บ้าง
o 2-การสื่อภาษาเสียรุนแรง สื่อสารกันได้ไม่เข้าใจ : severe aphasia
o 3-ไม่พูดหรือไม่เข้าใจภาษา ไม่สามารถแสดงท่าทางการสื่อสารให้เข้าใจได้ : mute or global aphasia
10. การออกเสียง
o 0-เปล่งเสียงปกติ
o 1-พูดไม่ชัดเล็กน้อย พอเข้าใจได้
o 2-พูดไม่ชัดอย่างมาก ไม่สามารถเข้าใจได้ โดยไม่มีความผิดปกติของความเข้าใจภาษา
11. การขาดความสนใจด้านหนึ่งด้านใดของร่างกาย(Neglect) เช่น การมองเห็น การสัมผัส การได้ยินเมื่อ กระตุ้นทั้งสองข้าง
o 0-ไม่พบความผิดปกติ
o 1-ผิดปกติเรื่องการรับรู้ชนิดใด ชนิดหนึ่ง
o 2-ผิดปกติมากกว่า 1 ชนิด หรือไม่รู้จักมือของตนเอง หรือ ตอบสนองต่อสิ่งเร้าเพียงด้านเดียว
แนวทางการประเมินผู้ป่วยทางระบบประสาท (Neurological assessment)
แนวทางการประเมินผู้ป่วยทางระบบประสาท (Neurological assessment)
กิจกรรม 1. ประเมินระดับการเปลี่ยนแปลงของระดับความรู้สึกตัว
1.1 โดยใช้ Glasgow coma scale (GCS) ซึ่งมีคะแนนรวมสูงสุด = 15 คะแน
การลืมตา (Eye opening)
• ลืมตาได้เอง 4 คะแนน
• ลืมตาเมื่อเรียก 3 คะแนน
• ลืมตาเมื่อรู้สึกเจ็บปวด 2 คะแนน
• ไม่ลืมตาเลย 1 คะแน
การตอบสนองต่อการเรียกหรือการพูด (Verbal)
• พูดคุยได้ไม่สับสน 5 คะแนน
• พูดคุยได้แต่สับสน 4 คะแนน
• พูดเป็นคำๆ 3 คะแนน
• ส่งเสียงไม่เป็นคำพูด 2 คะแนน
• ไม่ออกเสียงเลย 1 คะแนน
การเคลื่อนไหวที่ดีที่สุด (Movement)
• ทำตามคำสั่งได้ 6 คะแนน
• ทราบตำแหน่งที่เจ็บ 5 คะแนน
• ชักแขน ขาหนีเมื่อเจ็บ 4 คะแนน
• แขนงอผิดปกติ 3 คะแนน
• แขนเหยียดผิดปกติ 2 คะแนน
• ไม่เคลื่อนไหวเลย 1 คะแนน
1.2 ขนาดรูม่านตา และปฏิกิริยาต่อแสง
มีปฏิกิริยาต่อแสงไฟฉาย (บันทึกตัวย่อ RA = reaction)
มีปฏิกิริยาต่อแสงไฟฉายช้า (บันทึกตัวย่อ RS =sluggish)
ไม่มีปฏิกิริยาต่อแสงไฟฉาย (บันทึกตัวย่อ N =no reaction)
ตาปิด (บันทึกตัวย่อ C =close)
1.3 กำลังของแขน ขา (motor power)
แขน กำลังปกติ ❑ ขวา ❑ ซ้าย
ยกแขนต้านแรงไม่ได้ ❑ ขวา ❑ ซ้าย
ขยับได้ตามแนวราบ ❑ ขวา ❑ ซ้าย
กระดิกนิ้วได้ ❑ ขวา ❑ ซ้าย
ไม่มีการเคลื่อนไหว ❑ ขวา ❑ ซ้าย
ขา กำลังปกติ ❑ ขวา ❑ ซ้าย
ยกขาต้านแรงไม่ได้ ❑ ขวา ❑ ซ้าย
ขยับได้ตามแนวราบ ❑ ขวา ❑ ซ้าย
กระดิกนิ้วได้ ❑ ขวา ❑ ซ้าย
ไม่มีการเคลื่อนไหว ❑ ขวา ❑ ซ้าย
1.4 สัญญาณชีพ
• อุณหภูมิร่างกาย (บันทึกตัวย่อ T = temperature)
• ชีพจร (บันทึกตัวย่อ P = pulse)
• อัตราการหายใจ (บันทึกตัวย่อ R = respiratory)
• ความดันโลหิต (บันทึกตัวย่อ BP = blood pressure) ถ้า SBP > 185-220 mmHg
DBP > 120-140 mmHg วัด 2 ครั้ง ติดต่อกัน ใน 5 นาที และรายงานแพทย์ทันที
ยาที่ใช้ในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
ยาที่ใช้ในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
ยาที่ใช้ในโรคหลอดเลือดสมองแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
1. ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Antiplatelets) ซึ่งในที่นี้จะขอเน้นยาที่อยู่ในรูปแบบยารับประทาน ได้แก่
ยาที่ใช้ในโรคหลอดเลือดสมองแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
1. ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (Antiplatelets) ซึ่งในที่นี้จะขอเน้นยาที่อยู่ในรูปแบบยารับประทาน ได้แก่
Aspirin ( แอสไพริน )
อาการข้างเคียง :
1.ตัวยาอาจระคายเคืองต่อเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้ปวดท้องหรืออาเจียนหลังรับประทาน บางรายอาจทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารเพราะ ฉะนั้นไม่ควรรับประทานยาในขณะท้องว่าง ควรรับประทานยาหลังอาหารทันที หรือหลังดื่มนม และควรดื่มน้ำตามมาก ๆ ภายหลังรับประทานยา2.ยานี้อาจทำให้เลือดออกง่าย เนื่องจากทำให้การเกาะตัวของเกล็ดเลือด (Platelets Aggregation) ลดลง จึงควรระวังในผู้ป่วยที่สงสัยว่าจะมีเลือดออก เช่น ไข้เลือดออก โรคเลือดต่าง ๆ
ข้อควรระวัง :
1. ในผู้ที่มีอาการแพ้ยานี้ โดยอาจมีผื่นคันหรือลมพิษขึ้น ถ้าแพ้มาก ๆ อาจมีหอบหืดหรือชัก ซึ่งหากพบอาการดังกล่าวให้หยุดยาทันที แล้วให้รีบมาพบแพทย์ และไม่ควรรับประทานยานี้อีกอย่างเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดอาการแพ้ได้อีก
2.ถ้าใช้ขนาดมากเกินไปจะเป็นพิษ ทำให้มีอาการมึนงง ใจสั่น หูอื้อ หากเป็นรุนแรงอาจชัก ซึมจนถึงไม่รู้สึกตัว ดังนั้น จึงควรรับประทานยาให้ถูกต้องตามที่แพทย์สั่งและเก็บยาไว้ให้มิดชิด พ้นจากมือเด็ก3. ไม่ควรใช้ยาในเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ที่เป็นไข้หวัดใหญ่ หรืออีสุกอีใส เพราะอาจทำให้เกิดโรคเรย์ซินโดรม (Reye's Syndrome)ซึ่งมีอันตรายร้ายแรงถึงแก่ชีวิตได้4.ไม่ควรใช้ในหญิงตั้งครรภ์ช่วง 3 เดือนก่อนคลอด เพราะอาจทำให้ตกเลือดได้ง่าย และอาจทำให้เกิดความผิดปกติเกี่ยวกับทารกได้
Clopidogrel ( โคลพิโดเกรล )
ผลข้างเคียงจากยา :
ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักสามารถทนต่ออาการข้างเคียงของยาได้ดี โดยอาการไม่พึงประสงค์ที่พบได้บ่อย ก็เช่นเดียวกับยาต้านเกล็ดเลือดอื่น ๆคือการมีเลือดออกผิดปกติ และอาจพบอาการท้องเสีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง แผลในทางเดินอาหาร และกลุ่มอาการอาหารไม่ย่อย
ข้อควรระวัง :
ผู้ป่วยที่แพ้ยานี้ ผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพของภาวะตกเลือดที่กำลังดำเนินอยู่ เช่น ภาวะเลือดออกในสมอง
2. ยาต้านการเกิดลิ่มเลือด (Anticoagulants) ในที่นี้จะขอเน้นเฉพาะยาที่อยู่ในรูปแบบยารับประทาน ได้แก่
Warfarin ( วาฟาริน )
ผลข้างเคียงจากยา :อาการข้างเคียงที่พบบ่อย คือ ภาวะเลือดออก (bleeding) ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยการหยุดยาหรือการลดขนาดยาลง หากมีอาการเลือดออกที่ไม่รุนแรง
ข้อควรระวัง :
ยานี้ห้ามใช้ในระหว่างตั้งครรภ์
3.ยาสลายลิ่มเลือด (Thrombolytics หรือ Fibrinolytics) ได้แก่ Streptokinase , Urokinase , Alteplase (tissue plasminogen activator, rt-PA)
ซึ่งมักบริหารยาโดยการฉีดในผู้ป่วยที่รับการรักษาตัวในโรงพยาบาล
คำแนะนำในการใช้ยาโรคหลอดเลือดสมอง
1. อ่านฉลากยาให้เข้าใจก่อนการใช้ยาทุกครั้ง
2. รับประทานยาให้ครบตามที่แพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ
3. ควรหยุดยาก่อน 7 วันที่จะไปผ่าตัดหรือถอนฟัน
4. หากมีอาการผิดปกติใดๆ หลังได้รับยาเช่น มีเลือดออกผิดปกติ ปัสสาวะเป็นเลือด มีจ้ำเลือดเกิดขึ้นตามตัว หรือมีเลือดออกตามไรฟันมากผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ทันที
5. หากได้รับยาอื่นรับประทานร่วมด้วยควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง
6. อาหารเสริมบางชนิดมีผลทำให้เกิดอาการข้างเคียงจากยากลุ่มนี้ได้ เช่น แปะก๊วย กระเทียม เลซิทิน น้ำมันปลา วิตามินอี เป็นต้น ดังนั้น หากจะรับประทานอาหารเสริมใดควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรก่อนทุกครั้ง หากมีอาการแพ้ยา เช่น ผื่นคัน บวม ต้องหยุดยา และมาพบแพทย์
The Barthel Activity of Daily Living Index
แบบประเมินการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน
ของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
The Barthel Activity of Daily Living Index
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความก้าวหน้าในการดูแลตนเองและการเคลื่อนไหวในผู้ป่วยที่ได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพประกอบด้วย 10 กิจกรรม ได้แก่ การรับประทานอาหาร การหวีผม การลุกจากที่นอน การใช้ห้องสุขา การควบคุมการขับถ่ายอุจจาระ การควบคุมการขับถ่ายปัสสาวะ การอาบน้ำ การสวมใส่เสื้อผ้า การเคลื่อนที่ภายในบ้าน และการเดินขึ้นลงบันได 1 ชั้น (Wade, 1992)
โดยมีคะแนนรวม 0-100 คะแนน และมีการแบ่งคะแนนระดับความสามารถในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันซึ่งเป็นคะแนนไม่ต่อเนื่องและคะแนนที่ได้จะอยู่ในช่วงคะแนนที่กำหนดไว้ โดยมีเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้
0-20 หมายถึง ไม่สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้เลย
25-45 หมายถึง สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้เล็กน้อย
50-70 หมายถึง สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้ปานกลาง
75-95 หมายถึง สามารถประกอบกิจวัตรประจำวันได้มาก
100 หมายถึง สามารถประกอบกิจวัตรประจำวันได้ด้วยตนเองทั้งหมด
1. feeding การรับประทานอาหาร
0 ไม่สามารถรับประทานอาหารได้เอง ต้องป้อนอาหารให้ หรือรับอาหารทางสายยาง
5 ต้องมีผู้คอยดูแลช่วยเหลือในการเตรียมอาหาร เช่น ช่วยตัดหรือหั่นอาหาร
5 ต้องมีผู้คอยดูแลช่วยเหลือในการเตรียมอาหาร เช่น ช่วยตัดหรือหั่นอาหาร
10 ช่วยตัวเองได้เมื่อเตรียมอาหารวางไว้ให้
2. Transfer การเคลื่อนย้าย
0 ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้
5 ต้องมีผู้ช่วยเหลือ 1-2 คน ในการเคลื่อนย้าย นั่งทรงตัวได้
10 เคลื่อนย้ายได้โดยมีผู้ช่วยเหลือ 1 คน คอยช่วยพยุงหรือชี้แนะ
15 สามารถลุกจากเตียง ที่นอน หรือเคลื่อนย้ายลงมาเก้าอี้เข็นและสามารถล๊อคล้อเก้าอี้เข็นได้
0 ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้
5 ต้องมีผู้ช่วยเหลือ 1-2 คน ในการเคลื่อนย้าย นั่งทรงตัวได้
10 เคลื่อนย้ายได้โดยมีผู้ช่วยเหลือ 1 คน คอยช่วยพยุงหรือชี้แนะ
15 สามารถลุกจากเตียง ที่นอน หรือเคลื่อนย้ายลงมาเก้าอี้เข็นและสามารถล๊อคล้อเก้าอี้เข็นได้
3. Mobility การเดินการเคลื่อนที่
0 เคลื่อนไหวไม่ได้
5 สามารถใช้เก้าอี้เข็น คลาน หรือถัดได้
10 เดินได้โดยมีคนช่วยพยุง 1 คน
15 เดินได้เอง โดยอาจใช้ไม้เท้า หรือเครื่องพยุงเดิน
5 สามารถใช้เก้าอี้เข็น คลาน หรือถัดได้
10 เดินได้โดยมีคนช่วยพยุง 1 คน
15 เดินได้เอง โดยอาจใช้ไม้เท้า หรือเครื่องพยุงเดิน
4. Dressing การแต่งตัว สวมใส่เสื้อผ้า 0 ไม่สามารถแต่งตัวหรือสวมใส่เสื้อผ้าได้เอง
5 ต้องมีผู้ช่วยเหลือบางขั้นตอน
10 แต่งตัว สวมใส่เสื้อผ้าได้
5 ต้องมีผู้ช่วยเหลือบางขั้นตอน
10 แต่งตัว สวมใส่เสื้อผ้าได้
5. Bathing การอาบน้ำ เช็ดตัว 0 ไม่สามารถอาบน้ำ หรือเช็ดตัว ดูแลความสะอาดของร่างกายได้ต้องการความช่วยเหลือในบางขั้นตอน
5 สามารถอาบน้ำ ทำความสะอาดร่างกายได้ ทั้งฟอกสบู่ ตักน้ำราดตัว หรือเช็ดตัวได้ทุกส่วน
6. Groming สุขวิทยาส่วนบุคคล 0 ต้องพึ่งพาบุคคลอื่นทั้งหมดในการล้างหน้า แปรงฟัน หวีผม หรือโกนหนวด
5 สามารถล้างหน้า แปรงฟัน หวีผม โกนหนวดได้
5 สามารถล้างหน้า แปรงฟัน หวีผม โกนหนวดได้
7. Toilet use การใช้ห้องสุขา หรือกระโถน
0 ต้องพึ่งพาเกี่ยวกับการเข้า-ออกห้องสุขา หรือ การสอดดึงกระโถนรวมทั้งการถอด/
0 ต้องพึ่งพาเกี่ยวกับการเข้า-ออกห้องสุขา หรือ การสอดดึงกระโถนรวมทั้งการถอด/
ใส่เสื้อผ้า การล้างทำความสะอาดหลังการขับถ่าย
5 ต้องการความช่วยเหลือในบางขั้นตอน
10 สามารถเข้า-ออก ห้องสุขา หรือการสอด-ดึงกระโถน รวมทั้งการถอด/สวมเสื้อผ้า
การล้างทำความสะอาดภายหลังจากการขับถ่าย
10 สามารถเข้า-ออก ห้องสุขา หรือการสอด-ดึงกระโถน รวมทั้งการถอด/สวมเสื้อผ้า
การล้างทำความสะอาดภายหลังจากการขับถ่าย
8. Bowels การควบคุมการถ่ายอุจจาระ
0 กลั้นไม่ได้ อุจจาระราด กระปริดกระปรอย หรือท้องผูก ต้องสวนอุจจาระให้
5 กลั้นได้เป็นส่วนใหญ่ แต่อาจกลั้นไม่ได้ประมาณสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
0 กลั้นไม่ได้ อุจจาระราด กระปริดกระปรอย หรือท้องผูก ต้องสวนอุจจาระให้
5 กลั้นได้เป็นส่วนใหญ่ แต่อาจกลั้นไม่ได้ประมาณสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
หรือต้องการความช่วยเหลือในการสวนอุจจาระ
10 กลั้นได้ และ/หรือ ต้องสวนอุจจาระแต่สามารถทำได้เอง
9. Bladder การควบคุมการถ่ายปัสสาวะ
0 กลั้นไม่ได้ ถ่ายปัสสาวะกระปริดกระปรอย/ต้องสวนปัสสาวะหรือ
0 กลั้นไม่ได้ ถ่ายปัสสาวะกระปริดกระปรอย/ต้องสวนปัสสาวะหรือ
ดูแลเมื่อคาสายสวนปัสสาวะให้
5 กลั้นปัสสาวะไม่ได้ประมาณวันละ 1 ครั้ง และต้องการความช่วยเหลือให้การสวนปัสสาวะหรือดูแลเมื่อคาสายสวนปัสสาวะ
5 กลั้นปัสสาวะไม่ได้ประมาณวันละ 1 ครั้ง และต้องการความช่วยเหลือให้การสวนปัสสาวะหรือดูแลเมื่อคาสายสวนปัสสาวะ
10 กลั้นได้ ไม่มีปัสสาวะกระปริดกระปรอย ในกรณีที่คาสายสวนปัสสาวะสามารถดูแลได้เอง
10. Stairs การขึ้นลงบันได
0 ไม่สามารถทำได้
5 ต้องการคนช่วยเหลือ
10 ขึ้นลงได้เอง (ถ้าต้องใช้เครื่องช่วยเดิน เช่น walker จะต้องเอาขึ้นลงได้ด้วย)
5 ต้องการคนช่วยเหลือ
10 ขึ้นลงได้เอง (ถ้าต้องใช้เครื่องช่วยเดิน เช่น walker จะต้องเอาขึ้นลงได้ด้วย)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)